ติดต่อผู้สอนโย

 
 

   บทที่ 1 ธุรกิจเครือข่าย เป็นหนึ่งในระบบเคลื่อนสินค้าที่เติบโตเร็วที่สุดและถูกเข้าใจผิดมากที่สุดในปัจจุบัน ธุรกิจเครือข่ายถูกเชื่อว่าจะเป็นคลื่นลูกใหม่ในยุคปี 1980s แต่เชื่อผมเถิดว่า มันจะเติบโตได้ไกลกว่านั้นแน่ ภายในยุค 1990s สินค้าและบริการมูลค่ามากกว่า หนึ่งร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯ ถูกเคลื่อนผ่านบริษัทธุรกิจเครือข่ายทุก ๆ ปี จงจับตามองธุรกิจเครือข่ายในช่วงปี 2000s ถึง 2100s ให้ดี
   หนังสือเล่มนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูลผ่านทางรูปภาพและตัวอย่าง ว่า ธุรกิจเครือข่ายคืออะไร และสิ่งไหนไม่ใช่ธุรกิจเครือข่าย เรายังจะแสดงให้คุณเห็นว่า คุณจะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจในธุรกิจเครือข่ายอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร ผมขอย้ำ “อธิบายอย่างมีประสิทธิภาพ” ได้อย่างไร
หนังสือเล่มนี้ควรถูกใช้เป็นคู่มือการฝึกอบรม และเครื่องมือ ในการฝึกคนในองค์กร จงรวมหนังสือเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งในการฝึกอบรมคนของท่าน
   Don Failla เป็นผู้แต่ง Napkin Presentation โดย เนื้อหาทั้งหมด จะเรียกว่า Ten Napkin Presentations หรือภายใต้ชื่อภาษาไทยว่า “วิธีสร้างองค์กรการตลาดแบบเครือข่ายให้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่” ก่อนทีจะเข้าสู่เนื้อหาของ Ten Napkin Presentations ขออนุญาตตอบคำถามที่เป็นหนึ่งในคำถามที่ถูกถามมากที่สุด และอาจเป็นคำถามที่เป็นพื้นฐานที่สุดของบรรดาคำถามทั้งปวง นั่นคือ “ธุรกิจเครือข่าย หรือ Multi-level Marketing หรือ MLM นั้นคืออะไร”
     Marketing หมายถึง การเคลื่อนสินค้าหรือบริการ จากผู้ผลิตไปถึงผู้บริโภค Multi-Level อ้างถึง ระบบในการจ่ายค่าตอบแทนให้กับบุคคลผู้ซึ่งทำให้สินค้าหรือบริการนั้นเคลื่อนตัว Multi หมายถึง มากกว่าหนึ่ง Level หมายถึง ระดับหรือรุ่น คำว่า MLM นั้นแพร่หลายมากเสียจนพวกพีระมิดที่ผิดกฎหมาย และพวกลูกโซ่ต่างๆ ได้พยายามทำตัวเองให้เหมือนกับธุรกิจเครือข่าย ซึ่งการกระทำดังกล่าวสร้างภาพลบอย่างร้ายกาจและไร้เหตุผลให้กับบริษัทธุรกิจเครือข่ายใหม่ๆ จนกระทั่งเขาเปลี่ยนชื่อใหม่ให้กับแผนการตลาดของเขา เป็น Uni-Level Marketing, Network Marketing หรือ Co-op Mass Marketing และอื่นๆ
มีสามวิธีหลักๆ ในการเคลื่อนสินค้าและบริการ คือ
   1. Retailing หรือ การขายปลีก ผมเชื่อว่า ทุก ๆ คนคุ้นเคยกับระบบนี้ดีอยู่แล้ว คุณเดินเข้าไปในร้านของชำ ร้านขายยา หรือห้างสรรพสินค้า แล้วซื้อสินค้าบางอย่างออกมา
   2. Direct Sales หรือ การขายตรง คือการเคลื่อนสินค้าไปสู่ผู้บริโภค ผ่านทางเทคนิคของการขาย เช่น การไปบ้านลูกค้าเพื่อนำเสนอสินค้า การโทรศัพท์ไปขายของให้กับลูกค้า การขายตรงบางครั้งถือว่าเป็นการขายที่ไม่มีพ่อค้าคนกลาง (เช่น ร้าน Retail หรือ บริษัทตัวแทนจำหน่าย) ยกตัวอย่าง (แต่ไม่เสมอไป) เช่นการขายประกัน เครื่องครัว สารานุกรม สาวขายเอว่อน
   3. Multi-Level Marketing หรือ การตลาดเครือข่าย คือสิ่งที่เราจะพูดถึงในหนังสือนี้ เราไม่ควรสับสนระหว่างสองอย่างข้างบน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับการขายตรง คนส่วนใหญ่มักสับสนระหว่างการตลาดเครือข่ายกับการขายตรง ยังมีการตลาดอีกแบบหนึ่งที่เรียกว่า การสั่งทางไปรษณีย์ การทำการตลาดแบบไปรษณีย์สามารถถูกจัดอยู่ในกลุ่มของ Direct sales ได้ บางคนก็ถือว่าการตลาดทางไปรษณีย์เป็นการตลาดแบบที่ 4 แบบที่ 5 ซึ่งมักถูกเข้าใจสับสนกับ MLM ก็คือ แบบพีระมิด ดังที่กล่าวไปแล้วว่าพีระมิดนั้นผิดกฎหมาย เหตุผลสำคัญที่พีระมิดผิดกฎหมายเพราะว่ามันไม่สามารถเคลื่อนผลิตภัณฑ์ หรือ บริการไปสู่ผู้บริโภคได้ ถ้าผลิตภัณฑ์ไม่เคลื่อนไหว เราจะเรียกมันว่า “การตลาด” ได้อย่างไร พีระมิดสามารถใช้คำว่า “เครือข่าย” ได้ แต่ไม่สามารถใช้คำว่า “การตลาด” ได้


     ข้อขัดแย้งส่วนใหญ่ในใจคนมากมาย ที่ทำให้เขาไม่เข้าร่วมทำธุรกิจ MLM คือ เขาไม่รู้ความแตกต่าง ระหว่าง MLM กับ การขายตรง ไม่แปลกใจเลยที่คนส่วนมากสับสนเพราะบริษัทบริษัท MLM ที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่นั้นอยู่ในสมาคมขายตรง และในบางครั้งคุณอาจมองการทำธุรกิจเครือข่ายเหมือนการการขายเดินขายของแบบเคาะประตู เพราะว่าคุณได้รู้จักกับกับธุรกิจเครือข่ายครั้งแรก เมื่อผู้จำหน่ายเคาะประตูบ้านคุณเพื่อพยายามขายของบางอย่างให้กับคุณ ซึ่งแท้จริงแล้ว มีลักษณะบางอย่างที่แยก MLM ออกจากการขายตรง นั่นคือ หากคุณอยู่ในธุรกิจ MLM คุณอยู่ในธุรกิจเพื่อตัวของคุณเอง แต่ไม่ใช่โดยตัวของคุณเอง
การเข้าร่วมธุรกิจคือคุณจะซื้อสินค้าในราคาขายส่ง (คุณควรใช้ผลิตภัณฑ์ด้วยตัวเองด้วย) หลายคนเข้าร่วมธุรกิจเพราะเหตุผลข้อนี้ หลังจากนั้นคุณก็จะเริ่ม “เอาจริง” เมื่อคุณซื้อสินค้าในราคา“ขายส่ง” ถ้าคุณต้องการ คุณสามารถ“ขายปลีก” และคุณจะได้ “ผลกำไร” คนจำนวนมากเข้าใจผิดว่า คุณ “ต้อง” ขายปลีก คุณจึงประสบความสำเร็จ บางบริษัทถึงกับกำหนดยอดขายให้สมาชิกทำยอดตามเป้าเพื่อเขาจะได้รับผลตอบแทน คุณสามารถขายถ้าคุณต้องการ หรือ ถ้าคุณจำเป็นต้องขายเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนก็ขายไปเถิดครับ แต่หากคุณต้องการสร้างรายได้มหาศาลแล้วหละก็ ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่แท้จริงนั้น มาจาก “การสร้างองค์กร”


ประเด็นสำคัญ: ให้การขายเป็นสิ่งที่ตามมาจากการสร้างองค์กรโดยธรรมชาติ คนส่วนใหญ่ล้มเหลวเพราะเขาทำสิ่งที่กลับกัน คือ เขาพยายามสร้างองค์กรโดยการขาย หากคุณอ่านบทเรียนต่อๆ ไป ของ Napkin Presentations คุณจะเข้าใจในหลักการนี้
คำว่า “ขาย” เป็นความคิดทางลบในจิตใจคนถึง 95% ในธุรกิจเครือข่ายคุณไม่จำเป็นต้อง “ขาย” ตามความเข้าใจของโลก แต่อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ต้องเคลื่อนไหว มิฉะนั้นจะไม่มีใครได้รับเงิน ดอน เฟียล่า ได้นิยามคำว่า ขาย ไว้ว่า “การโทรศัพท์ไปหาคนแปลกหน้า เพื่อขายของบางอย่าง ที่เขาอาจไม่จำเป็นต้องใช้ หรือ ไม่ต้องการ”

ขอยืนยันอีกครั้ง ผลิตภัณฑ์ต้องเคลื่อนไหว มิฉะนั้นจะไม่มีใครได้รับเงิน

MLM สามารถเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า Network Marketing เมื่อคุณสร้างองค์กร แท้จริงแล้วคุณกำลังสร้างเครือข่ายที่ใช้ในการกระจายสินค้าของคุณเอง การขายนั้นยังคงเป็นรากฐานของธุรกิจเครือข่าย เพียงแต่การขายในธุรกิจเครือข่ายนั้นมาจากการที่ผู้จำหน่าย “แบ่งปัน” ให้กับเพื่อนและญาติพี่น้องของเขา ไม่ใช่ให้กับคนแปลกหน้า การสร้างธุรกิจขนาดใหญ่ให้ประสบความสำเร็จคุณต้อง “สร้างความสมดุล” คุณต้องอุปถัมภ์ และสอน MLM ให้กับคนอื่น และในกระบวนการนี้เอง คุณจะสามารถสร้างลูกค้าได้ซึ่งก็คือเพื่อนๆ หรือญาติพี่น้องของคุณ


อย่าพยายามอุปถัมภ์คนทั้งโลกด้วยตัวของคุณเอง จงจำไว้ว่า Network marketing คือการสร้างองค์กรผู้จำหน่ายจำนวนมาก แต่ละคนขายคนละเล็กคนละน้อย ซึ่งดีกว่าการใช้คนจำนวนน้อยๆ ขายของปริมาณมาก ๆ บริษัทธุรกิจเครือข่ายส่วนใหญ่ไม่ต้องเสียเงินปริมาณมหาศาลไปกับการโฆษณา เพราะสุดยอดแห่งการโฆษณาก็คือการบอกแบบปากต่อปากของสมาชิก ดังนั้น บริษัทเครือข่ายจึงมีเงินมาใช้ในการพัฒนาสินค้าได้มากกว่าบริษัททั่วๆ ไป ดังนั้น คุณภาพสินค้าจึงมักดีกว่าสินค้าคู่แข่งในกลุ่มเดียวกันที่พบตามร้านค้าปลีก คุณจึงเพียงแค่แบ่งปันสินค้าที่มีคุณภาพสูงกว่าสินค้ายี่ห้ออื่นๆ ในหมวดเดียวกัน ให้เขาเปลี่ยนมาใช้ยี่ห้อใหม่ ซึ่งคุณได้ทดสอบด้วยตัวคุณเองแล้วว่า มันดีกว่า


คุณคงเห็นแล้วว่านี่ไม่ใช่การเดินไปเคาะประตูตามบ้านเพื่อขายสินค้าให้กับคนแปลกหน้า ธุรกิจเครือข่ายที่ผมรู้จักสอนว่า การที่คุณแบ่งปันคุณภาพสินค้าและบริการให้กับเพื่อนของคุณ ทั้งหมดนี้แหละที่ “การขาย” เข้ามาเกี่ยวข้อง จริงๆควรใช้คำว่า “การแบ่งปัน” มากกว่า “การขาย” เพราะมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ข้อแตกต่างอีกอย่างของ MLM กับการขายตรงนั้นคือการ“อุปถัมภ์”ผู้จำหน่ายคนอื่นๆ บางบริษัทอาจใช้คำว่า การหาสมาชิกใหม่ อย่างไรก็ตาม การอุปถัมภ์กับการหาสมาชิกนั้นต่างกันอย่างแน่นอน คุณอุปถัมภ์คนบางคน แล้ว “สอน” ให้เขาทำสิ่งที่คุณทำอยู่ เพื่อให้เขาสร้างธุรกิจของเขาเอง การอุปถัมภ์คนบางคน กับการทำให้คนบางคนเซ็นใบสมัครนั้นต่างกันมาก เมื่อคุณ “อุปถัมภ์” ใครบางคน คุณกำลังให้คำมั่นสัญญาที่จะช่วยเขาจนกว่าเขาจะประสบความสำเร็จ หากคุณไม่ประสงค์ที่จะให้คำมั่น คุณกำลังทำร้ายเขาถ้าคุณทำให้เขาเซ็นใบสมัคร


ณ จุดนี้ สิ่งที่คุณต้องการคือความตั้งใจจริงที่จะช่วยให้เขาสร้างธุรกิจของตัวเอง หนังสือเล่มนี้จะเป็นอุปกรณ์ล้ำค่าที่จะแสดงให้คุณเห็นว่าคุณต้องทำอะไร และทำอย่างไร ในการช่วยเหลือคนคนหนึ่งให้สร้างธุรกิจของตัวเอง มันเป็น “ความรับผิดชอบ” ของผู้อุปถัมภ์ที่จะสอนผู้ที่เขานำเข้ามาในธุรกิจให้รู้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างในธุรกิจ เช่น การสั่งสินค้า การจดบันทึกความคืบหน้าในธุรกิจ การเริ่มต้น วิธีในการฝึกอบรมองค์กรของเขาเอง และอื่นๆ ขอให้หนังสือเล่มนี้จะอยู่กับคุณไปตลอดจนกว่าคุณจะสามารถบรรลุ “ความรับผิดชอบ” นี้ได้ เพราะการอุปถัมภ์เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเครือข่ายเติบโต เมื่อองค์กรของคุณโต คุณก็จะเป็นนักธุรกิจอิสระที่ประสบความสำเร็จ ในที่สุดคุณจะกลายเป็นเจ้านายของตัวเอง!


หากคุณทำงานให้กับบริษัทขายตรงและคุณตัดสินใจที่จะลาออกเพราะคุณต้องย้ายไปอาศัยที่ท้องถิ่นอื่น คุณอาจต้องเริ่มทำงานทั้งหมดใหม่อีกครั้ง แต่หากคุณอยู่ในบริษัท MLM คุณสามารถย้ายไปในท้องที่ใดก็ได้ และเริ่มอุปถัมภ์ผู้คนใหม่โดยไม่สูญเสียยอดขายจากองค์กรที่คุณได้สร้างไว้แล้วในท้องที่เดิม การทำธุรกิจเครือข่ายคุณสามารถสร้างรายได้ได้มากมายจากการสร้างองค์กร ไม่ใช่แค่การขาย ข้าพเจ้ายังขอยืนยังอีกครั้ง คุณสามารถมีความเป็นอยู่ที่ดีได้จากการขายของ แต่คุณสามารถสร้าง “ความมั่งคั่งอย่างถาวร” ได้ด้วยการสร้างองค์กรเท่านั้น


ผู้คนจำนวนมากเข้าสู่ธุรกิจเครือข่ายเพียงแค่ต้องการมีรายได้เพิ่มเดือนละ 50$ 100$ หรือ 200$ ต่อเดือนและทันใดนั้นเขาต้องการที่จะจริงจังและเขาสามารถทำได้ถึงเดือนละ 1000$ 2000$ หรือมากกว่านั้น เขาเหล่านี้ไม่ได้หาเงินจำนวนมากจากการขายของ เขาทำได้จากการสร้างองค์กร
นั่นคือวัตถุประสงค์ของหนังสือเล่มนี้ เราจะสอนคุณให้สามารถสร้างองค์กรได้และทำได้อย่างรวดเร็วด้วยโดยการสอนให้คุณสร้างทรรศนะคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายให้กับผู้มุ่งหวัง หากผู้มุ่งหวังของท่านเข้าใจว่าธุรกิจเครือข่ายนั้นผิดกฎหมายเสียแล้ว คุณจะมีปัญหาในการอุปถัมภ์เขาอย่างแน่นอน
คุณต้องชี้แจงให้เขาเห็นถึงข้อเท็จจริง เพื่อขจัดทรรศนะคติหรือความเข้าใจผิดที่ว่า “ธุรกิจเครือข่ายนั้นเหมือนพีระมิด” ขอให้ทำความเข้าใจตัวอย่างข้างล่างและรูปนี้เพราะคุณสามารถนำมันไปใช้อธิบายกับผู้มุ่งหวังได้

พีระมิดนั้นสร้างจากยอดลงมาด้านล่าง ดังนั้น ผู้ที่เข้ามาสู่ธุรกิจ เป็นกลุ่มแรกเท่านั้นที่สามารถอยู่ด้านบนของพีระมิด แต่ในรูปสามเหลี่ยม ในธุรกิจเครือข่าย ทุกๆ คนเริ่มต้นจากด้านล่างและมีโอกาสเท่า ๆ กันที่จะ สร้างองค์กรขนาดใหญ่ของตัวเอง ทุก ๆ คนสามารถสร้างองค์กรให้ใหญ่ กว่าองค์กรของผู้อุปถัมภ์ของเขาได้หลายเท่าถ้าต้องการ

สรุปเนื้อหาสำคัญของบทนี้คือ
- นำผู้มุ่งหวังไปสู่เรื่องทั่ว ๆ ไปเกี่ยวกับธุรกิจเครือข่าย
- อธิบายความแตกต่างของการขายปลีก การขายตรง และธุรกิจเครือข่าย หลักจากนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการนำเสนอบริษัท, สินค้า, และแผน การตลาด รวมถึงระบบช่วยเหลือในการทำงานของท่าน

ดังที่ผมกล่าวไปในตอนต้นว่าภายในยุค 1990s MLM ได้ทำเงินไปมากกว่า หนึ่งร้อยล้านเหรียญ นี่เป็นธุรกิจที่ใหญ่มาก! แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่รู้ ธุรกิจเครือข่ายนั้นอยู่รอบๆ ตัวเรามามากกว่า 40 ปีแล้ว บางบริษัทที่เปิดทำการมากว่า 20 ปี กำลังทำเงินกว่าร้อยล้านเหรียญต่อปี ผมรู้จักบริษัทหนึ่งที่ทำรายได้มากกว่าสองล้านเหรียญในปีแรก ในปีที่สองเขาทำได้ถึงสิบห้าล้านเหรียญ ในปีที่สามเขาคาดหวังรายได้ 75 ล้านและ หนึ่งพันล้านเหรียญภายในปีที่ 5! หลักการในหนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณเห็นว่าเป้าหมายของเขาจะเป็นจริงได้อย่างไร และสิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุก ๆ คน
ธุรกิจเครือข่ายเป็นหนึ่งในวิธีการที่ผู้ผลิตจะนำสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดโดยไม่ต้องมีเงินล้านและไม่ต้องเสียผลิตภัณฑ์ของตนเองไปให้ผู้อื่น

บทที่ 2 TWO TIMES TWO IS FOUR (สองคูณสองเท่ากับสี่)
     คุณอาจแสดงบทเรียนนี้ให้กับผู้มุ่งหวังของท่าน “ก่อน” ที่คุณจะแสดงให้เขาเห็นถึงบริษัทหรือพาหนะที่ท่านต้องการแบ่งปันให้เขา หากไม่เช่นนั้น มันเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องแสดงบทเรียนนี้ “ทันที” กับคนทุกคนหลังจากที่คุณนำเสนอบริษัทหรือพาหนะไปแล้ว เพราะคุณต้องการให้ความคิดของเขาไปในทิศทางที่ถูกต้องตั้งแต่วันแรกที่เขารู้จักธุรกิจ สิ่งที่บทเรียนนี้ทำคือป้องกันการ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” หรือ การป้องกันไม่ให้เขาทำ (หรือแม้แต่จะคิด) ว่าเขาจะต้องออกไป “อุปถัมภ์คนทั้งโลก” แล้วจึงจะประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย


การนำเสนอนี้เริ่มจากการเขียนเลข 2 X 2 = 4 แล้วคูณสองต่อไปสักสองสามครั้ง ดังรูปที่ 1 (มีคนกล่าวว่าหากผู้ที่ท่านกำลังจะอุปถัมภ์คูณเลขไม่เป็นให้ผ่านไปเลย เพราะท่านจะมีปัญหาในการทำงานกับเขาแน่นอน) ขอให้สังเกตว่าเราเริ่มใช้คำว่า “อุปถัมภ์” แล้วในตอนนี้
หลังจากนั้นเราจะเขียนข้างๆ แถวสองคูณสองเท่ากับสี่ ลงไปว่า 3 X 3 = 9 แล้วคูณสามต่อไปสักสองสามครั้ง จะได้ออกมาดังรูปที่ 2 แล้วให้คุณพูดว่า “คุณอุปถัมภ์สามคน แล้วสอน (สังเกตว่าเราใช้คำว่า สอน แล้วในตอนนี้) เขาให้อุปถัมภ์คนละสามคน จะทำให้องค์กรของคุณมี 9 คนแล้วตอนนี้ ต่อจากนั้น คุณสอนให้สามคนของคุณ อุปถัมภ์สามคนของเขา ให้ออกไปอุปถัมภ์คนอีกคนละ 3 คน ตอนนี้องค์กรของคุณก็จะมี 27 คน หากลึกลงไปอีกหนึ่งชั้น คุณจะมี 81 คน” หลังจากนั้นชี้ให้เขาดูถึงความแตกต่างระหว่าง 16 กับ 81 แล้วถามเขาว่าเขาเห็นด้วยหรือไม่ว่ามีผลแตกต่างที่ชัดเจนทีเดียว หลังจากนั้นจึงค่อยเฉลยให้เขาทราบว่า ผลต่างที่แท้จริงนั้นคือ 1 ใช่ครับ หนึ่ง เท่านั้น แต่ละคนอุปถัมภ์คนเพิ่มอีกคนละหนึ่งคนเท่านั้น

เมื่อคุณพูดถึงจุดนี้แล้วคุณน่าจะสังเกตปฏิกิริยาบางอย่างจากคน ที่คุณกำลังสอน แต่ให้สอนต่อไป เพราะเรากำลังไปได้สวยแล้ว พูดต่อไปว่า “สมมติคุณอุปถัมภ์คนสี่คนเข้ามาในธุรกิจ” แล้วให้
คุณเขียนเลข 4 X 4 = 16 ทางขวาของแถว 3 X 3 คุณจะได้รูปเหมือนรูปที่ 3 ในขณะที่คุณเขียนคุณก็อธิบายไปด้วย ว่า “คุณอุปถัมภ์คนสี่คน แล้วช่วย ให้คนสี่คนของคุณอุปถัมภ์คนอีกสี่คน หลังจากนั้น สอนให้คนของคุณช่วยให้คนของเขาอุปถัมภ์คนอีกสี่คน ตอนนี้คุณจะมี 64 คนในองค์กรหากคุณทำต่อไปอีกชั้น กลุ่มของคุณจะมี 256 คน”


เมื่อถึงจุดนี้คุณน่าจะเห็นอะไรบางอย่างจากคนที่คุณกำลังสอนอีกครั้ง เพราะว่าเขากำลังเรียนรู้หลักการทวีคูณซึ่งสำคัญมาก เขาอาจเป็นผู้พูดขึ้นมาด้วยตัวเองก่อนที่คุณจะพูดด้วยซ้ำไปว่า “สิ่งที่แตกต่างแท้จริงนั้นคือ ทุกคนอุปถัมภ์เพิ่มอีกสองคนเท่านั้น” เราจบบทเรียนนี้ด้วยเลข 5 ในตอนนี้เขาจะสามารถเข้าใจมันได้
โดยง่ายและสามารถคิดตามได้แล้วในขณะที่คุณกำลังเขียนชุดตัวเลข 5 X 5 ในแถวสุดท้าย ในตอนนี้คุณอาจไม่ต้องพูดคำอธิบายยืดยาว คุณเพียงแต่พูดว่า “ห้าคูณห้าได้ยี่สิบห้า คูณห้าอีกทีได้ ร้อยยี่สิบห้า คูณอีกครั้งได้ หกยี่สิบห้า” นี่คือความแตกต่างอันน่าอัศจรรย์! แต่ทว่าความแตกต่างที่แท้จริง “ทุกคนอุปถัมภ์เพิ่มอีกคนละสามคน” คนส่วนใหญ่ยอมการอุปถัมภ์คน 2, 3, หรือ 5 คน มากกว่ายอมรับการสร้างองค์กรใหญ่ขนาดชุดตัวเลขด้านล่าง


ลองนึกภาพตัวท่านกับชุดตัวเลขแถวสุดท้าย ท่านได้อุปถัมภ์คน 5 คนที่เอาจริงเข้ามาในธุรกิจ คนเอาจริงจะสร้างธุรกิจของเขาเอง คุณอาจต้องอุปถัมภ์คนสิบคน สิบห้าคน หรือยี่สิบคน เพื่อที่จะได้คนห้าคนดังกล่าว อย่างไรก็ดี หากท่านเข้าใจสิบบทเรียน Napkin Presentation นี้อย่างถ่องแท้แล้ว คุณจะพบว่าคนของคุณ“เอาจริง” เร็วกว่าคนที่เข้ามาโดยไม่ทราบถึงหลักการในหนังสือเล่มนี้ หนังสือเล่มนี้จะบอกถึงวิธีที่จะทำงานกับคนของคุณ เพื่อเขาจะได้ “เอาจริง” เร็วขึ้น สังเกตรูปที่ 4 คุณอุปถัมภ์คน 5 คน แล้วคุณสอนเขาแต่ละคนให้ทำเหมือนคุณไปเรื่อยๆ หากคุณบวกตัวเลขในวงกลม สิ่งที่ได้คือจำนวนคน 780 คน ซึ่งคือคนเอาจริงทั้งหมดในองค์กรของคุณ การคำนวณครั้งนี้จะช่วยตอบตอบคำถามของผู้มุ่งหวังที่ว่า “ไม่ต้องขายของเลยจริงๆ หรือ” ได้อีกด้วย

คุณอาจพูดว่า “หากคุณ (ผู้มุ่งหวัง) มีองค์กร 780 คนและแต่ละคนใช้สินค้าส่วนตัวและไม่มีใครออกไปขายของเลยแม้แต่คนเดียว เท่านี้คุณก็จะมียอดขายรวมในองค์กรคุณมหาศาลแล้ว นี่เรายังไม่รวมผู้ที่ไม่เอาจริง แต่เป็นเพียงแค่คนใช้สินค้า” ดังนั้นหากคุณเจอกับคำถามนี้ จงใช้บทเรียนนี้ในการตอบปัญหา
สมมติว่า ผู้จำหน่ายแต่ละคนมีเพื่อน ญาติ หรือคนรู้จักเป็นลูกค้า คนละ 10 คน นั่นหมายถึงลูกค้าจำนวน 7800 คน! ถ้ารวมลูกค้ากับผู้จำหน่ายที่เอาจริงจำนวน 780 คนแล้วหละก็ ท่านคิดว่าผู้ใช้สินค้าจำนวน 8580 คนจะช่วยสร้างอาณาจักรแห่งผลกำไรของท่านได้หรือไม่ หนทางที่ธุรกิจไม่ว่าธุรกิจใดก็ตามต้องนำไปใช้หากคาดหวังรายได้จำนวนมาก คือ การใช้คนจำนวนมาก ทำคนละเล็กละน้อย แต่จงจำไว้ว่า คุณทำงานร่วมกับคนเอาจริง 5 คนเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งกองทัพ!


เมื่อเทียบกับองค์กรเครือข่ายอื่นๆ หลายคนจะประหลาดใจว่าทำไมองค์กรของเราจึงได้เติบโตอย่างรวดเร็วขนาดนี้แม้ว่าบางคนอาจอยู่ในธุรกิจมานานกว่าเรา สุดท้ายเขาจะเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่แล้วถามออกมาว่า “คุณทำอะไรที่ผมไม่ได้ทำหรือ”
คำตอบที่เราให้ไปคือ “คุณทำงานร่วมกับทีมงานติดตัวกี่คน” (ทีมงานติดตัว คือผู้ที่คุณให้การอุปถัมภ์สู่ธุรกิจด้วยตัวเอง) ผมมักได้ยินคำตอบตั้งแต่ 25 ถึง 50 คนหรือมากกว่านั้น ผมรู้จักคนบางคนซึ่งมีทีมงานติดตัวถึง 100 คน ผมกล้ารับประกันว่าเขาจะสูญเสียคนเหล่านั้นไปทั้งหมดภายในระยะเวลา 6 เดือน แม้ว่าคนพวกนั้นจะอยู่ในองค์กรมากว่า 6-8 ปีก็ตาม ผมได้อธิบายและยกตัวอย่างให้ดูอย่างชัดเจนว่าเหตุใดทำงานกับคนจำนวนมากจึงไม่ดี ไว้ในบทที่สอง (ความล้มเหลวของเซลล์แมน)
หากคุณพิจารณาถึงกองทัพบก กองทัพเรือ หรือกองทัพอากาศ จากนายทหารระดับต่ำสุดจนถึงผู้บัญชาการทหารสามเหล่าทัพในกระทรวงกลาโหม ไม่มีใครเลยที่มีผู้ใต้บังคับบัญชา “โดยตรง” มากกว่า 5 ถึง 6 คน (อาจมีข้อยกเว้นบ้างแต่น้อยมาก) เรามีโรงเรียนเตรียมทหารซึ่งมีประสบการณ์มามายมาย และเขาไม่คิดว่าจะมีใคร ควรดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงกับคนมากกว่า 5 – 6 คน แล้วแบบนี้คุณจะมาบอกผมว่า นักธุรกิจเครือข่ายควรจะทำงานร่วมกับทีมงานติดตัว 50 คนแล้วจะประสบความสำเร็จเช่นนั้นหรือ พวกเขาไม่มีทางทำได้! สิ่งนี้คือเหตุผลว่าทำไมคนจำนวนมากจึงล้มเหลว คุณจะเข้าใจมากขึ้นถ้าคุณอ่านต่อไป
คุณไม่ควรทำงานกับคนเอาจริงมากกว่า 5 คนในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ดีขอให้แน่ใจว่าเมื่อคุณอุปถัมภ์เขา คุณได้สร้างสายงานสายลึก หลังจากร่วมงานกับเขานานเข้า นานเข้า มันจะมีจุดๆ หนึ่งที่เขาไม่ต้องการท่านอีกแล้ว เมื่อนั้น คุณถึงจะสามารถปล่อยให้เขาสร้างทีมงานของตัวเองต่อไป หลังจากนั้นท่านค่อยไปทำงานร่วมกับผู้เอาจริงคนใหม่ ขอให้รักษาจำนวนของผู้ที่ทำงานใกล้ชิดกับท่านไว้ไม่เกิน 5 คน บางบริษัทออกแบบให้ท่านทำงานร่วมกับคน 3, 4 คนแล้วจะมีประสิทธิภาพ แต่ไม่เคยมีใครเลยที่สร้างองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการทำงานร่วมกับคนมากกว่า 5


สิบบทของ Napkin Presentations นั้นเชื่อมโยงถึงกันทั้งหมด ดังนั้นคำถามที่ท่านมีอยู่ในใจขณะนี้ จะถูกคลี่คลายลงในบทถัด ๆ ไป คุณอาจแสดงบทเรียนนี้ให้กับผู้มุ่งหวังของท่าน “ก่อน” ที่คุณจะแสดงให้เขาเห็นถึงบริษัทหรือพาหนะที่ท่านต้องการแบ่งปันให้เขา หากไม่เช่นนั้น มันเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องแสดงบทเรียนนี้ “ทันที” กับคนทุกคนหลังจากที่คุณนำเสนอบริษัทหรือพาหนะไปแล้ว เพราะคุณต้องการให้ความคิดของเขาไปในทิศทางที่ถูกต้องตั้งแต่วันแรกที่เขารู้จักธุรกิจ สิ่งที่บทเรียนนี้ทำคือป้องกันการ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” หรือ การป้องกันไม่ให้เขาทำ (หรือแม้แต่จะคิด) ว่าเขาจะต้องออกไป “อุปถัมภ์คนทั้งโลก” แล้วจึงจะประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย


การนำเสนอนี้เริ่มจากการเขียนเลข 2 X 2 = 4 แล้วคูณสองต่อไปสักสองสามครั้ง ดังรูปที่ 1 (มีคนกล่าวว่าหากผู้ที่ท่านกำลังจะอุปถัมภ์คูณเลขไม่เป็นให้ผ่านไปเลย เพราะท่านจะมีปัญหาในการทำงานกับเขาแน่นอน) ขอให้สังเกตว่าเราเริ่มใช้คำว่า “อุปถัมภ์” แล้วในตอนนี้
หลังจากนั้นเราจะเขียนข้างๆ แถวสองคูณสองเท่ากับสี่ ลงไปว่า 3 X 3 = 9 แล้วคูณสามต่อไปสักสองสามครั้ง จะได้ออกมาดังรูปที่ 2 แล้วให้คุณพูดว่า “คุณอุปถัมภ์สามคน แล้วสอน (สังเกตว่าเราใช้คำว่า สอน แล้วในตอนนี้) เขาให้อุปถัมภ์คนละสามคน จะทำให้องค์กรของคุณมี 9 คนแล้วตอนนี้ ต่อจากนั้น คุณสอนให้สามคนของคุณ อุปถัมภ์สามคนของเขา ให้ออกไปอุปถัมภ์คนอีกคนละ 3 คน ตอนนี้องค์กรของคุณก็จะมี 27 คน หากลึกลงไปอีกหนึ่งชั้น คุณจะมี 81 คน” หลังจากนั้นชี้ให้เขาดูถึงความแตกต่างระหว่าง 16 กับ 81 แล้วถามเขาว่าเขาเห็นด้วยหรือไม่ว่ามีผลแตกต่างที่ชัดเจนทีเดียว หลังจากนั้นจึงค่อยเฉลยให้เขาทราบว่า ผลต่างที่แท้จริงนั้นคือ 1 ใช่ครับ หนึ่ง เท่านั้น แต่ละคนอุปถัมภ์คนเพิ่มอีกคนละหนึ่งคนเท่านั้น

เมื่อคุณพูดถึงจุดนี้แล้วคุณน่าจะสังเกตปฏิกิริยาบางอย่างจากคน ที่คุณกำลังสอน แต่ให้สอนต่อไป เพราะเรากำลังไปได้สวยแล้ว พูดต่อไปว่า “สมมติคุณอุปถัมภ์คนสี่คนเข้ามาในธุรกิจ” แล้วให้
คุณเขียนเลข 4 X 4 = 16 ทางขวาของแถว 3 X 3 คุณจะได้รูปเหมือนรูปที่ 3 ในขณะที่คุณเขียนคุณก็อธิบายไปด้วย ว่า “คุณอุปถัมภ์คนสี่คน แล้วช่วย ให้คนสี่คนของคุณอุปถัมภ์คนอีกสี่คน หลังจากนั้น สอนให้คนของคุณช่วยให้คนของเขาอุปถัมภ์คนอีกสี่คน ตอนนี้คุณจะมี 64 คนในองค์กรหากคุณทำต่อไปอีกชั้น กลุ่มของคุณจะมี 256 คน”


เมื่อถึงจุดนี้คุณน่าจะเห็นอะไรบางอย่างจากคนที่คุณกำลังสอนอีกครั้ง เพราะว่าเขากำลังเรียนรู้หลักการทวีคูณซึ่งสำคัญมาก เขาอาจเป็นผู้พูดขึ้นมาด้วยตัวเองก่อนที่คุณจะพูดด้วยซ้ำไปว่า “สิ่งที่แตกต่างแท้จริงนั้นคือ ทุกคนอุปถัมภ์เพิ่มอีกสองคนเท่านั้น”
เราจบบทเรียนนี้ด้วยเลข 5 ในตอนนี้เขาจะสามารถเข้าใจมันได้
โดยง่ายและสามารถคิดตามได้แล้วในขณะที่คุณกำลังเขียนชุดตัวเลข 5 X 5 ในแถวสุดท้าย ในตอนนี้คุณอาจไม่ต้องพูดคำอธิบายยืดยาว คุณเพียงแต่พูดว่า “ห้าคูณห้าได้ยี่สิบห้า คูณห้าอีกทีได้ ร้อยยี่สิบห้า คูณอีกครั้งได้ หกยี่สิบห้า” นี่คือความแตกต่างอันน่าอัศจรรย์! แต่ทว่าความแตกต่างที่แท้จริง “ทุกคนอุปถัมภ์เพิ่มอีกคนละสามคน”


คนส่วนใหญ่ยอมการอุปถัมภ์คน 2, 3, หรือ 5 คน มากกว่ายอมรับการสร้างองค์กรใหญ่ขนาดชุดตัวเลขด้านล่าง ลองนึกภาพตัวท่านกับชุดตัวเลขแถวสุดท้าย ท่านได้อุปถัมภ์คน 5 คนที่เอาจริงเข้ามาในธุรกิจ คนเอาจริงจะสร้างธุรกิจของเขาเอง คุณอาจต้องอุปถัมภ์คนสิบคน สิบห้าคน หรือยี่สิบคน เพื่อที่จะได้คนห้าคนดังกล่าว
อย่างไรก็ดี หากท่านเข้าใจสิบบทเรียน Napkin Presentation นี้อย่างถ่องแท้แล้ว คุณจะพบว่าคนของคุณ“เอาจริง” เร็วกว่าคนที่เข้ามาโดยไม่ทราบถึงหลักการในหนังสือเล่มนี้ หนังสือเล่มนี้จะบอกถึงวิธีที่จะทำงานกับคนของคุณ เพื่อเขาจะได้ “เอาจริง” เร็วขึ้น
สังเกตรูปที่ 4 คุณอุปถัมภ์คน 5 คน แล้วคุณสอนเขาแต่ละคนให้ทำเหมือนคุณไปเรื่อยๆ หากคุณบวกตัวเลขในวงกลม สิ่งที่ได้คือจำนวนคน 780 คน ซึ่งคือคนเอาจริงทั้งหมดในองค์กรของคุณ การคำนวณครั้งนี้จะช่วยตอบตอบคำถามของผู้มุ่งหวังที่ว่า “ไม่ต้องขายของเลยจริงๆ หรือ” ได้อีกด้วย

คุณอาจพูดว่า “หากคุณ (ผู้มุ่งหวัง) มีองค์กร 780 คนและแต่ละคนใช้สินค้าส่วนตัวและไม่มีใครออกไปขายของเลยแม้แต่คนเดียว เท่านี้คุณก็จะมียอดขายรวมในองค์กรคุณมหาศาลแล้ว นี่เรายังไม่รวมผู้ที่ไม่เอาจริง แต่เป็นเพียงแค่คนใช้สินค้า” ดังนั้นหากคุณเจอกับคำถามนี้ จงใช้บทเรียนนี้ในการตอบปัญหา
สมมติว่า ผู้จำหน่ายแต่ละคนมีเพื่อน ญาติ หรือคนรู้จักเป็นลูกค้า คนละ 10 คน นั่นหมายถึงลูกค้าจำนวน 7800 คน! ถ้ารวมลูกค้ากับผู้จำหน่ายที่เอาจริงจำนวน 780 คนแล้วหละก็ ท่านคิดว่าผู้ใช้สินค้าจำนวน 8580 คนจะช่วยสร้างอาณาจักรแห่งผลกำไรของท่านได้หรือไม่ หนทางที่ธุรกิจไม่ว่าธุรกิจใดก็ตามต้องนำไปใช้หากคาดหวังรายได้จำนวนมาก คือ การใช้คนจำนวนมาก ทำคนละเล็กละน้อย แต่จงจำไว้ว่า คุณทำงานร่วมกับคนเอาจริง 5 คนเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งกองทัพ!
เมื่อเทียบกับองค์กรเครือข่ายอื่นๆ หลายคนจะประหลาดใจว่าทำไมองค์กรของเราจึงได้เติบโตอย่างรวดเร็วขนาดนี้แม้ว่าบางคนอาจอยู่ในธุรกิจมานานกว่าเรา สุดท้ายเขาจะเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่แล้วถามออกมาว่า “คุณทำอะไรที่ผมไม่ได้ทำหรือ”


คำตอบที่เราให้ไปคือ “คุณทำงานร่วมกับทีมงานติดตัวกี่คน” (ทีมงานติดตัว คือผู้ที่คุณให้การอุปถัมภ์สู่ธุรกิจด้วยตัวเอง) ผมมักได้ยินคำตอบตั้งแต่ 25 ถึง 50 คนหรือมากกว่านั้น ผมรู้จักคนบางคนซึ่งมีทีมงานติดตัวถึง 100 คน ผมกล้ารับประกันว่าเขาจะสูญเสียคนเหล่านั้นไปทั้งหมดภายในระยะเวลา 6 เดือน แม้ว่าคนพวกนั้นจะอยู่ในองค์กรมากว่า 6-8 ปีก็ตาม ผมได้อธิบายและยกตัวอย่างให้ดูอย่างชัดเจนว่าเหตุใดทำงานกับคนจำนวนมากจึงไม่ดี ไว้ในบทที่สอง (ความล้มเหลวของเซลล์แมน)
หากคุณพิจารณาถึงกองทัพบก กองทัพเรือ หรือกองทัพอากาศ จากนายทหารระดับต่ำสุดจนถึงผู้บัญชาการทหารสามเหล่าทัพในกระทรวงกลาโหม ไม่มีใครเลยที่มีผู้ใต้บังคับบัญชา “โดยตรง” มากกว่า 5 ถึง 6 คน (อาจมีข้อยกเว้นบ้างแต่น้อยมาก) เรามีโรงเรียนเตรียมทหารซึ่งมีประสบการณ์มามายมาย และเขาไม่คิดว่าจะมีใคร ควรดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงกับคนมากกว่า 5 – 6 คน แล้วแบบนี้คุณจะมาบอกผมว่า นักธุรกิจเครือข่ายควรจะทำงานร่วมกับทีมงานติดตัว 50 คนแล้วจะประสบความสำเร็จเช่นนั้นหรือ พวกเขาไม่มีทางทำได้! สิ่งนี้คือเหตุผลว่าทำไมคนจำนวนมากจึงล้มเหลว คุณจะเข้าใจมากขึ้นถ้าคุณอ่านต่อไป
คุณไม่ควรทำงานกับคนเอาจริงมากกว่า 5 คนในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ดีขอให้แน่ใจว่าเมื่อคุณอุปถัมภ์เขา คุณได้สร้างสายงานสายลึก หลังจากร่วมงานกับเขานานเข้า นานเข้า มันจะมีจุดๆ หนึ่งที่เขาไม่ต้องการท่านอีกแล้ว เมื่อนั้น คุณถึงจะสามารถปล่อยให้เขาสร้างทีมงานของตัวเองต่อไป หลังจากนั้นท่านค่อยไปทำงานร่วมกับผู้เอาจริงคนใหม่ ขอให้รักษาจำนวนของผู้ที่ทำงานใกล้ชิดกับท่านไว้ไม่เกิน 5 คน บางบริษัทออกแบบให้ท่านทำงานร่วมกับคน 3, 4 คนแล้วจะมีประสิทธิภาพ แต่ไม่เคยมีใครเลยที่สร้างองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการทำงานร่วมกับคนมากกว่า 5
สิบบทของ Napkin Presentations นั้นเชื่อมโยงถึงกันทั้งหมด ดังนั้นคำถามที่ท่านมีอยู่ในใจขณะนี้ จะถูกคลี่คลายลงในบทถัด ๆ ไป


บทที่ 3 SALESMEN FAILURE SYNDROME (ความล้มเหลวของเซลล์แมน)
     ทำไมเซลล์แมนจำนวนมากมายจึงล้มเหลวในการสร้างธุรกิจเครือข่าย บทเรียนที่สองนี้จะอธิบายถึงข้อผิดพลาดที่พบได้ง่ายๆ จากนักขายมืออาชีพ เราจะแสดงให้เห็นว่าทำไมคุณจึงควรอุปถัมภ์ครู แทนที่จะอุปถัมภ์เซลล์แมน
แต่อย่าเข้าใจผมผิด ผมเชื่อว่านักขายมืออาชีพเป็นทรัพย์สินที่ล้ำค่ามากในองค์กรของท่าน หากเขาได้อ่านและเข้าใจบทเรียนทั้งสิบบท ใน Napkin Presentations เล่มนี้
ธุรกิจเครือข่าย เป็นเพียงวิธีในการทำการตลาดเท่านั้น เราไม่ได้อุปถัมภ์คนเข้ามาในองค์กรขายตรง เราอุปถัมภ์เขาเข้ามาในธุรกิจเครือข่าย บ่อยครั้งที่เมื่อคุณอุปถัมภ์เซลล์แมนคุณจะพบปัญหาดังนี้ เมื่อเขาเห็นถึงสุดยอดคุณภาพในสินค้าในบริษัทของคุณ เขาจะเริ่มออกไปพูดทันที เขาจะนำความสามารถในการขายของเขาเข้ามาประยุกต์ใช้อีกด้วย อีกทั้งเขาไม่ต้องการให้เราสอนเขาขาย เพราะว่าเขาเป็นมืออาชีพอยู่แล้ว ซึ่งปัญหาอยู่ตรงนี้ เราไม่ได้ต้องการสอนเขาขาย เราต้องการสอนเขาให้ “สอน” และ “อุปถัมภ์” เพื่อที่เขาจะได้สร้างองค์กรขนาดใหญ่ได้สำเร็จ เขา หรือไม่ว่าใครก็ตาม สามารถทำได้โดย “ไม่ต้องขายอะไรทั้งนั้น” ตามความเข้าใจและคำจำกัดความของการขาย


หากคุณไม่อธิบายให้เขาเข้าใจในธุรกิจเครือข่ายและเหตุผลว่าทำไมธุรกิจเครือข่ายถึงต่างกับ Direct Sale แล้วหละก็ มีความเป็นไปได้มากทีเดียวที่เขาจะออกไปทำธุรกิจแบบผิด ๆ ตามตัวอย่างต่อไปนี้
คนส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะนักขาย) คิดว่าเมื่อคุณอุปถัมภ์ (Sponsor) ใครบางคนเข้ามาสู่ธุรกิจ คุณได้จำลองตัวเอง (Duplicate) สำเร็จเรียบร้อยแล้ว คุณเคยวาดรูปนี้ใช่ไหมครับ วงกลม ๆ มีคำว่า คุณ อยู่ตรงกลาง แล้วก็มีขีดลงมาหาวงกลมอีกหนึ่งวงที่อยู่ข้างล่าง ในรูปที่ 2.1
นี่ไง ตอนแรกมีหนึ่ง ตอนนี้มีสองแล้ว มันดูเหมือนจะมีเหตุผล แต่แท้จริงแล้วมัน ไม่ได้เป็นเช่นนั้น! เพราะว่า หากคนที่เป็นคนข้างบน (ผู้สปอนเซอร์) หายไปหละก็ผู้ถูกสปอนเซอร์ก็จะหายไปด้วย เขาจะไม่ทำธุรกิจต่อ คุณต้องอธิบายให้ทีมงานของคุณเข้าใจว่า หากเขาต้องการที่จำจำลองตัวเองจริงๆ แล้วหละก็ เขาต้องมีทีมงานอย่างน้อยลึกลงไปสามชั้น ลึกอย่างน้อยสามชั้นเท่านั้นจึงจะถือว่าเขาจะจำลองตัวเองได้สำเร็จ!


สมมติว่าคุณอยู่ตรงข้างบนสุด ดูภาพ 2.2 ประกอบ แล้วคุณได้อุปถัมภ์ นาย ก เข้ามาสู่ธุรกิจ ถ้าตอนนี้คุณหายไป และ นาย ก ก็ไม่รู้ว่าจะทำธุรกิจต่อไปอย่างไร หากเป็นแบบนี้ก็จบกัน แต่หากคุณ “สอน” ให้นาย ก รู้ว่าจะอุปถัมภ์คนอย่างไร และเขาได้อุปถัมภ์นาย ข เข้าสู่ธุรกิจได้สำเร็จ นี่คือจุดเริ่มต้นของการจำลองตัวเองของคุณเท่านั้น
แต่หากนาย ก ไม่ทราบว่าจะสอน นาย ข อย่างไรให้นาย ข อุปถัมภ์ผู้คน หากเป็นเช่นนี้ก็จะลงเอยเหมือนเดิม ถ้าคุณจากไปทุกคนจะหายไปหมด แต่ถ้าคุณ “สอน” ให้นาย ก สอน นาย ข ว่าจะอุปถัมภ์คนอย่างไร เพื่อนาย ข จะได้ไปอุปถัมภ์นาย ค หรือคนอื่นๆ
หากคุณสร้างองค์ลึกสามชั้นได้แล้วคุณจากไป (ไปทำงานร่วมกับผู้เอาจริงคนอื่น) องค์กรชุดนี้จะยังคงอยู่! และดำเนินต่อไปได้ ผมขอย้ำอีกครั้ง คุณต้องทำงานร่วมกับคนของคุณจนกว่าคุณจะสร้างองค์กรได้ลึกสามชั้น คุณจะไม่ประสบความสำเร็จอะไรทั้งสิ้นจนกว่าคุณจะสร้างองค์กรได้ลึกสามชั้น
แม้ว่าคุณจะไม่เคยสอนเรื่องอะไรเลยกับทีมงานของคุณ แต่คุณได้เน้นย้ำเรื่องนี้กับเขา คุณยังกำกุญแจสำคัญที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จเหนือนักธุรกิจเครือข่ายคนอื่นๆ ได้
แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเซลล์แมน? เขาดูวิธีนำเสนอสินค้า ได้ฟังและอ่านประสบการณ์จากผู้ที่ใช้สินค้าแล้วประทับใจมากมาย หลังจากได้ข้อมูลอย่างท่วมท้นเขาจึงออกไปขายอย่างบ้าคลั่ง อย่าลืมว่าเขาเป็นยอดนักขายในธุรกิจขายตรงมาก่อน อีกทั้งเขาไม่มีปัญหาในการขายของให้กับคนแปลกหน้าเสียด้วย
เยี่ยมไปเลย สมมติคุณบอกกับสุดยอดนักขายในทีมงานของคุณ สมมติว่าเขาชื่อ สมชาย ก็แล้วกัน คุณบอกกับเขาว่า “สมชาย ถ้านายอยากสร้างเงินมหาศาลหละก็ นายต้องอุปถัมภ์ (Sponsor) คนอื่น”
แล้วนายสมชายจะทำอย่างไร? เขาออกไป สปอนเซอร์ สปอนเซอร์ สปอนเซอร์ เหมือนเครื่องจักร เซลล์แมนที่เก่งสามารถสปอนเซอร์ ผู้คนได้มากกว่า 3-4 คนต่อสัปดาห์ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง (และการที่จะถึงจุด ๆ นี้ใช้เวลาไม่นานนักหรอก) คือ คนเหล่านั้นจะหลับไปเร็วพอ ๆ กับการที่เขาเข้ามาสู่ธุรกิจ ถ้าคุณไม่ทำงานร่วมกับเขาอย่างมีประสิทธิภาพ (อย่าลืมว่าคุณจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพกับคนไม่เกิน 5 เท่านั้น) คุณจะพบว่าพวกเขาจะสูญเสียกำลังใจและล้มเลิกไปในที่สุด ส่วนสมชาย เขาเริ่มผิดหวังและหมดความอดทน เขาไม่เห็นความคืบหน้าและล้มเลิกไปในที่สุด ส่วนผู้ที่อุปถัมภ์สมชายสู่ธุรกิจ เดิมทีเขาคิดว่าสมชายจะทำให้เขารวย แต่สุดท้ายเขาก็ผิดหวังและล้มเลิกไปเช่นกัน


คนส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายไม่ได้มีพื้นฐานมาจากการขาย แต่พวกเขาจะมีความสามารถในการ “สอน” แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็น “ครู” โดยอาชีพก็ตาม ผมรู้จักครูคนหนึ่งที่เข้ามาในธุรกิจได้เพียง 24 เดือนแต่ก็ประสบความสำเร็จมากทีเดียว เขาทำมันได้ และเขาทำโดยสอนให้คนอื่นรู้ว่าจะทำมันอย่างไร
เราลองมาใส่ตัวเลขในกรณีศึกษาของสมชายดีกว่าเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นว่าเขาทำอะไรผิดพลาด สมมติว่าสมชายผู้ซึ่งเป็นสุดยอดนักขายออกไปสปอนเซอร์คนได้ 130 คน สมมติว่าสมชายทำให้คนทั้งร้อยสามสิบนั้นสปอนเซอร์คนได้อีกคนละ 5 คน จะกลายเป็น 130 X 5 = 650 คน รวมกับคนที่คุณหาเองอีก 130 คน ทั้งหมดเป็น 780 คน (คุ้นๆ กับเลขนี้หรือเปล่าครับ)


เมื่อคุณยกกรณีศึกษานี้ขึ้นมาอธิบายกับทีมงานของคุณขอให้คุณถามคำถามนี้ด้วย “คุณคิดว่าการที่คุณเองต้องสปอนเซอร์คนร้อยสามสิบคน แล้วสอนให้เขา สปอนเซอร์คนละ 5 คน กับ สอนให้คนเอาจริงเพียง 5 คน สอนทีมงานของเขาเพียง 5 คน ทำงานเป็น แบบไหนเร็วกว่ากัน”
ทันใดนั้นเองจะเกิดคำถามขึ้นทันที “แล้วผมจะสอนอะไรกับทีมงาน 5 คนของผมหละ” คำตอบคือสิ่งที่ท่านกำลังอ่านอยู่ตอนนี้นั่นแหละครับ ท่านต้องสอนให้เขาเข้าใจ 10 Napkin Presentations ให้ได้ทั้งสิบข้อ แต่เริ่มแรกจากข้อ 1 ถึง 4 ก่อน เริ่มจาก สองคูณสองเท่ากับสี่ ทำไมเซลล์แมนจึงล้มเหลว และอื่นๆ
คุณคิดว่าคุณจะใช้เวลามากแค่ไหนในการหาคน 130 คน และจะมีสักที่คนที่เหลือรอดหลังจากที่คุณสปอนเซอร์คนที่ 130 ได้สำเร็จ คุณจะพบว่าคุณจะสูญเสียคนที่เข้ามาช่วงแรกไปเร็วมาก ถ้าคุณเข้าใจ Napkin Presentation #1 คุณจะพบว่า อัตราการเหลือรอดของคน 780 คนที่ได้มาจาก 5 X 5 X 5 … นั้นสูงกว่าอัตราการเหลือรอดของ (130 X 5) + 130 มากนัก
เมื่อไหร่ที่คุณแสดงให้ยอดเซลล์แมนของคุณเข้าใจในข้อเท็จจริงนี้เขาจะพูดว่า “ผมรู้แล้วว่าผมควรจะทำอย่างไร” และเขาจะทำ
การกระตุ้นให้คนออกไปสปอนเซอร์นั้นเป็นสิ่งดี แต่อย่างไรก็ตามคุณก็ต้องคอยดึงคนของคุณไว้ด้วย คนส่วนใหญ่มักกระตุ้นคนของเขาออกไปทำธุรกิจทันที สมมติผู้ที่คุณสปอนเซอร์มา ออกไปทำงานแล้วเขามาบอกกับคุณว่า “อาทิตย์ที่แล้วผมสปอนเซอร์ได้ 5 คนครับ” คุณคงจะพูดว่า “เยี่ยมมาก” แล้วตบหลังให้กำลังใจเขา อาทิตย์ต่อมาเขาสปอนเซอร์คนได้อีก 5 คน เหมือนเดิมอีก แล้วเกิดอะไรขึ้นกับห้าคนในอาทิตย์แรกหละ เขาหายไปหมด
ตอนนี้คุณเข้าใจ “ความล้มเหลวของเซลล์แมน” แล้ว คุณจะไม่กระตุ้นให้เขาออกไปสปอนเซอร์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องเน้นย้ำว่า การช่วยเหลือให้คนที่เขาพามานั้นทำงานได้สำคัญมากกว่ามาก เขาต้องออกไปช่วยให้คนที่เขาพามาทำงานได้เสียก่อน เมื่อคุณอุปถัมภ์ใครบางคน มันจำเป็นมากที่ผมจะต้องออกไปกับพวกเขาเพื่อไปอุปถัมภ์คนอื่นก่อน แทนที่จะออกไปอุปถัมภ์คนอื่นเพื่อตัวผมเอง ผมจะไม่พูดถึงเรื่องนี้มากนักในตอนนี้เพราะประเด็นนี้จะเราจะพูดกันอีกครั้งหนึ่งในบทถัด ๆ ไป ในสิบบทของการนำเสนอชุดนี้ สี่บทแรกเป็นสิ่งที่ จำเป็นอย่างยิ่ง ที่คุณต้องอ่านและทำความเข้าใจกับมัน หากคุณหวังจะประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย


บทที่ 4 Four Things You Have To Do (สี่สิ่งที่จำเป็นต้องทำ)
     ในบทที่ 2 เราได้บอกว่าคุณต้องทำอะไรบ้าง และในบทที่ 3 เราได้บอกคุณว่าคุณห้ามทำอะไรตลอดระยะเวลาที่ท่านทำงานกับองค์กรของท่าน ส่วนในบทนี้เราจะพูดถึง สี่สิ่งที่จำเป็นต้องทำ หากคุณคาดหวังที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย ขอย้ำอีกครั้ง สี่สิ่งนี้จำเป็นอย่างยิ่งยวด! หากคุณหวังจะประสบความสำเร็จ นักธุรกิจเครือข่ายที่ทำเงินได้มากกว่า แสนหรือสองแสนเหรียญต่อปีได้ทำและกำลังทำสี่อย่างต่อไปนี้ เพื่อให้คุณ (และทีมงานของคุณ) เข้าใจ, จดจำ, และถ่ายทอด สี่สิ่งนี้ได้ง่ายขึ้น เราจะเล่าให้คุณฟังโดยเปรียบเทียบกับเรื่องราวง่ายๆ ดังนี้
สมมติคุณต้องการขับรถจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ คุณต้องการจะหนีบรรยากาศอันร้อนอบอ้าวและวุ่นวายในเมืองหลวงไปสู่อากาศบริสุทธิ์และความเงียบสงบในตัวเมือง ตอนนี้คุณอยู่ที่กรุงเทพ ซึ่งแสดงถึงจุดเริ่มต้นในการดำเนินธุรกิจของคุณ การที่คุณไปถึงเชียงใหม่แสดงถึงคุณได้ประสบความสำเร็จในธุรกิจแล้ว


สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ ก้าวเข้าไปในรถแล้วก็สตาร์ทเครื่อง ใช่ไหมครับ ไม่มีใครจะประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายหากปราศจากการเริ่มต้น การเริ่มต้นก็เปรียบเสมือนกับการสมัครเข้าเป็นสมาชิก ซึ่งอาจใช้เงินมากน้อยแตกต่างกัน ตั้งแต่ 100$, 200$ หรือ 1000$ ก็แล้วแต่ บริษัทที่คุณสมัครก็เปรียบเสมือนกับเป็นยานพาหนะที่คุณเลือกใช้ในการเดินทางครั้งนี้นั่นเอง
สิ่งที่สองที่คุณต้องทำก็คือใช้น้ำมันเชื้อเพลิง การที่คุณจะไปถึงเชียงใหม่ได้นั้นคุณต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจนหมดแล้วก็เติมใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า การใช้น้ำมันนี้เปรียบเสมือนกับการใช้สินค้า คุณควรใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยตัวของคุณเอง
โดยธรรมชาติแล้วบริษัทเครือข่ายมักมีผลิตภัณฑ์ประเภทอุปโภคบริโภคปกติผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อุปโภคบริโภคมักทำการตลาดโดยวิธีค้าปลีก หรือ ขายตรง แต่ก็ไม่เสมอไป
การที่คุณใช้ผลิตภัณฑ์ด้วยตนเองก็มีข้อดีข้อหนึ่งตรงที่คุณจะตื่นเต้นไปกับมัน อย่าลืมว่าบริษัทธุรกิจเครือข่ายใช้เงินไปกับการพัฒนาสินค้าแทนที่จะนำไปใช้ในการโฆษณา ทำให้คุณภาพสินค้านั้นสูงกว่าสินค้าตามร้านของชำ หรือสินค้าคู่แข่งยี่ห้ออื่นๆ ในหมวดเดียวกันมาก
จำสิ่งที่เราคุยกันใน NP#1 ได้ใช่ไหมครับ หากคุณมีผู้ใช้ผลิตภัณฑ์จำนวน 780 คนแล้วหละก็ ไม่ว่าคุณอยู่บริษัทใดคุณจะมียอดขายมหาศาลทีเดียว


สิ่งที่สามที่คุณต้องทำหลังจากสตาร์ทรถไปแล้วนั้นคือการเข้าเกียร์สูง แต่แน่นอนไม่มีใครสามารถออกรถได้โดยเข้าเกียร์สูงทันที ทุกคนเริ่มจากเกียร์ว่าง ก่อนทั้งนั้น สมมติถ้าเราอยู่ในรถ อยู่บนถนนที่ถูกต้องแล้ว บิดกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์ และเหยียบคันเร่งเพื่อใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เราจะไม่มีทางไปถึงเชียงใหม่หรือไม่แม้แต่จะขยับไปไหนเลยถ้าคุณไม่ขยับเกียร์ออกจากตำแหน่งเกียร์ว่างซะก่อน

การเข้าเกียร์สำหรับรถของคุณคือการอุปถัมภ์ใครบางคนเข้าสู่ธุรกิจ เมื่อคุณสปอนเซอร์ใครบางคน คุณจะอยู่ในตำแหน่งเกียร์หนึ่ง คุณควรอยู่ในตำแหน่งเกียร์หนึ่งห้าครั้ง นั่นคือการอุปถัมภ์คนเอาจริง 5 คน (ในบทถัดไปเราจะแสดงให้คุณเห็นว่าคุณจะทราบได้อย่างไรว่า ใครเป็นคนเอาจริง)
ต่อไปคุณจะต้องสอนให้ 5 คนเอาจริงของคุณเข้าเกียร์เช่นกัน เมือเขาเข้าเกียร์หนึ่งห้าครั้ง เช่นเดียวกันกับคุณ คุณจะอยู่ในตำแหน่งเกียร์สอง 25 ครั้ง
ต่อไปคุณต้องสอนให้ห้าคนเอาจริงของคุณ สอนให้ห้าคนเอาจริงของเขา ให้เข้าเกียร์หนึ่งห้าครั้ง ถ้าคุณทำสำเร็จถึงขั้นนี้คุณจะอยู่ในตำแหน่งเกียร์สาม
คุณสังเกตบ้างไหมว่ารถของคุณจะวิ่งได้ราบเรียบมากขึ้นแค่ไหน หากคุณอยู่ในตำแหน่งเกียร์สี่? องค์กรของคุณก็เช่นกัน คุณต้องอยู่ในตำแหน่งเกียร์สี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อห้าคนเอาจริงของคุณอยู่ในตำแหน่งเกียร์สาม คุณจะอยู่ในตำแหน่งเกียร์สี่

คุณอยากให้ห้าคนเอาจริงของคุณมาอยู่ในตำแหน่งเกียร์สี่เช่นเดียวกับคุณหรือไม่? คุณสามารถช่วยให้เขาอยู่ในตำแหน่งเกียร์สี่ได้โดยการสอนให้เขาช่วยให้คนของเขาอยู่ในตำแหน่งเกียร์สาม เพื่อทำให้คนของคุณอยู่ในตำแหน่งเกียร์สี่ หากคุณทำสำเร็จคุณจะอยู่ในตำแหน่งโอเวอร์ไดร์ฟ ตอนนี้ไม่มีใครสามารถหยุดการเติบโตขององค์กรคุณได้แล้ว
สิ่งที่สี่ที่คุณต้องทำในการเดินทางครั้งนี้คือการแบ่งปันสินค้าให้กับคนที่ร่วมเดินทางไปกับคุณ ให้เขาได้ลองใช้ ให้เขาได้สัมผัสประโยชน์ที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์ด้วยตัวของเขาเอง เมื่อเขาชอบสินค้าและถามคุณว่าจะหาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้จากที่ไหน ก็เท่ากับคุณได้สร้างลูกค้าได้โดยปริยาย สำหรับนักธุรกิจเครือข่ายแล้ว สิ่งนี้ถือเป็น “การค้าปลีก” ในธุรกิจนี้

คุณจะพบว่า ตั้งแต่ที่เราได้เริ่มบรรยาย Napkin presentations 1, 2 จนในขณะนี้อยู่ในข้อ 3 แล้ว เราได้พูดถึงสิ่งที่คุณต้องทำในภาพรวมไปทั้งหมดแล้ว เราไม่เคยพูดกับคุณแม้แต่คำเดียวว่าคุณ “ต้อง” ออกไป “ขาย” เรายังจะย้ำกับคุณคำเดิมว่า คุณไม่ต้องขายของตามความเข้าใจของชาวโลก แต่เราได้พูดกับคุณชัดเจนว่า ให้คุณ “แบ่งปัน” สินค้าให้กับเพื่อนของคุณ คุณอาจแบ่งปันสินค้าให้กับคนแปลกหน้าก็ได้ เมื่อเขาเห็นประโยชน์ที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์และแผนรายได้แล้ว เขาจะกลายเป็นเพื่อนของคุณ
คุณไม่จำเป็นต้องมีลูกค้าปริมาณมหาศาล สมมติคุณมีลูกค้าสิบคน หรือน้อยกว่านั้นก็ไม่เป็นไร คุณก็แค่ทำรายได้จากข้อ 4 ได้น้อยมาก หรืออาจไม่ได้เลย หากคุณทำข้อ 1 – 3 คุณก็ยังคงไปถึงเชียงใหม่ได้อยู่ดี
อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณทำข้อ 4 มาก แต่คุณไม่ได้ทำข้อ 3 (เข้าเกียร์) เสียแล้ว คุณจะไม่มีทางขยับไปไหนได้ทั้งนั้น (นี่คือสิ่งที่เซลล์แมนกระทำ)
เมื่อคุณเข้าใจบทเรียนนี้ และสามารถผสานเข้ากับความรู้ที่ได้จาก NP1 และ NP2 คุณได้เข้าใจถึง ทรรศนะคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายแล้ว และคุณต้องปลูกฝังความคิดที่ถูกต้องนี้ให้กับทีมงานของคุณตั้งแต่คนแรก บอกกับเขาไปว่า “คุณแค่หาคนเอาจริง 5 คนเท่านั้น”
สมมติคุณไปหาคนเอาจริงของคุณแล้วถามเขาว่าทำงานเป็นอย่างไรบ้าง แล้วเขาบอกกับคุณว่า “โอย ผมหาคนที่อยากขายของไม่ได้สักคน” คำว่า “ขาย” อีกแล้วครับ เลิกหาคนที่อยากขายของได้แล้ว! จงออกไปหาคนที่อยากได้รายได้เพิ่มเดือนละ 100$, 500$, หรือ 1000$ โดยไม่ต้องออกไปทำงานทุกวัน คุณพอจะรู้จักใครที่ต้องการเช่นนี้บ้างไหมหละ ผมมั่นใจว่าคำตอบของเขาจะต้องเป็น “หาได้สิ คนทุกคนที่ผมรู้จักต้องการเช่นนั้น” นั่นแหละคือคนที่เราต้องไปคุยด้วย ทุกคนก็ต้องการรายได้เพิ่มกันทั้งนั้น พวกเขาแค่ต้องใช้เวลา 5-10 ชั่วโมงในการสร้างธุรกิจ แต่มันไม่เห็นจะยากอะไรเลย


บางคนเข้ามาในธุรกิจเครือข่ายและคิดว่าเขาจะประสบความสำเร็จได้ด้วยการเซ็นใบสมัคร มันไม่ได้ง่ายเช่นนั้นหรอกครับ จำไว้ว่ารถที่เราจะขับไปเชียงใหม่นั้นไม่ใช่รถเกียร์อัตโนมัติ
คุณรู้จักใครบางคนที่สำเร็จการศึกษาและได้ใบปริญญาจากมหาวิทยาลัยบ้างหรือไม่ บางทีคุณอาจเป็นหนึ่งในนั้น ท่านจำได้ไหมว่า ท่านต้องไปโรงเรียนเกือบทุกวันในตอนเช้า หลังจากกลับมาบ้านท่านอาจอ่านหนังสือต่ออีกครึ่งคืน สัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า ต่อเนื่องกันเป็นหลายๆ ปี และสุดท้ายท่านก็สำเร็จการศึกษาจนได้ ถามว่าท่านทำเงินได้เท่าไหร่ครับ


เพียงท่านใช้เวลาห้าถึงสิบชั่วโมงเรียนรู้ Napkin Presentations และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับบริษัทที่คุณเป็นตัวแทนอยู่ เมื่อท่านศึกษา Napkin Presentations จนเข้าใจแล้ว ท่านจะสามารถสอนมันให้กับคนอื่นได้ หนังสือที่คุณกำลังอ่านนี้เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในอนาคต
คุณไม่ต้องกังวลหรอกนะครับว่าคุณจะไม่สามารถสอนในสิ่งที่คุณกำลังเรียนรู้ในตอนนี้ให้คนอื่นๆ ได้ บางทีครั้งนี้อาจเป็นครั้งแรกที่คุณได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ เราไม่ได้คาดหวังให้คุณเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ขนาดที่จะไปสอนคนอื่นได้ในเวลานี้ คุณยังไม่จำเป็นต้องทำได้ขนาดนั้นในตอนนี้ อย่างน้อย ในตอนนี้
จงจำไว้ว่าในธุรกิจเครือข่ายคุณจะต้องมีผู้อุปถัมภ์ ถ้าผู้อุปถัมภ์ของคุณเป็นผู้อุปถัมภ์ตัวจริง เขาจะช่วยคุณอุปถัมภ์ 5 คนแรกของคุณ สังเกตว่านี้คือความสัมพันธ์แบบช่วยเหลือกัน ในขณะที่แสดง NP ให้กับเพื่อนของคุณ (แบบส่วนบุคคลหรือเป็นกลุ่ม) ผู้อุปถัมภ์ของคุณก็กำลังสอนคุณเช่นเดียวกัน


เราขอแนะนำให้คุณตั้งเป้าหมายกับตัวคุณเอง เมื่อคุณไต่บันไดของการเติบโตของคุณไปประมาณ 20% ของความสำเร็จของคุณ คุณควรจะเข้าใจใน 10 ของ Napkin Presentations ได้เป็นอย่างดี เมื่อคุณไปถึงครึ่งทางคุณควรจะสามารถสอนผู้อื่นให้เข้าใจใน Napkin Presentations ได้แล้ว และเมื่อคุณกำลังจะไปถึงยอดคุณควรจะสามารถสอนให้ผู้อื่นสอนให้ทีมงานของเขาเองเข้าใจใน Napkin Presentations ได้ ยิ่งมีคุณมีความเชี่ยวชาญใน NP เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อของคุณเองมากเท่านั้น
คุณอาจต้องอ่านหนังสือเล่มนี้หรือฟังไฟล์เสียงในหัวข้อนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า และคุณต้องสอนคนอื่นให้เข้าใจ NP แต่ถ้าทั้งหมดนี้หมายความว่า ภายในอีก 1 ปีข้างหน้า คุณสามารถสร้างรายได้ 2, 3, 4, หรือแม้แต่ 6 พันเหรียญต่อปีโดยไม่ต้องไปทำงานแล้วหละก็ มันคุ้มไหมครับที่จะใช้เวลากับมันห้าถึงสิบชั่วโมงต่อสัปดาห์
คุณรู้สึกไหมครับว่าการทำเช่นนี้เหมือนคุณต้องกลับไปโรงเรียนอีกครั้ง ลองหยิบหนังสือเรียนตามมหาวิทยาลัยขึ้นมาสักเล่ม และพยายามเรียนรู้ในสิ่งที่หนังสือเหล่านั้นเขียนดูสิครับ มันไม่สามารถทำเงินให้คุณได้เหมือนสิ่งที่คุณกำลังเรียนอยู่ในตอนนี้ใช้ไหมครับ

ยินดีต้อนรับเข้าสู่โรงเรียนธุรกิจเครือข่าย!


ธุรกิจของคุณเอง 100%
สร้างลูกค้าเพื่อธุรกิจระยะยาว คุณไม่ต้องขายใดๆ ยอดธุรกิจจะเกิดจากลูกค้าใช้แล้วประทับใจจะเกิดการซื้อเองโดยอัตโนมัติ เป็นความพิเศษของผลิตภัณฑ์และระบบทำงานร่วมกัน ไม่จำเป็นต้องเก่ง ทุกคนใช้ระบบนี้ได้เพียงแค่เรียนให้รู้และใช้ระบบให้เป็น เชื่อมทุกองค์ประกอบสู่ความสำเร็จได้อย่างน่าทึ่ง


แสดงศักยภาพของคุณได้เต็มที่
คุณคือคนเก่งที่สุดของตัวคุณเอง อย่าปล่อยให้ความฝันเป็นแค่ความเพ้อฝัน บ่อยครั้งที่เข้าอบรมพัฒนาความสามารถแล้วรับเงินเดือนเท่าเดิม การศึกษาและเรียนรู้เรื่องระบบครั้งนี้ จะให้ข้อมูลความรู้ ให้คุณได้แนวทางปฎิบัติจาก
บทเรียนแล้วนำไปสร้างอนาคตของคุณได้อย่างแท้จริง ไม่มีเพดานจำกัด เทคนิคการสร้างธุรกิจจากพี่เลี้ยงคนนี้ และ สถาบันวิชาความรู้มืออาชีพแห่งหนึ่งของประเทศคอยดูแลคุณ ให้ประสบความสำเร็จเฉกเช่นผู้คนมากมาย กว่า 30 ี ในประเทศไทย กว่า 50 ี ในระดับโลกมีตัวอย่างให้คุณได้เรียนรู้และรับประกันความพอใจในทุกกรณี
4 12 องบทเรียนสำคัญคุณได้เรียนรู้แล้ว
คุณสามารถอ่านทั้งหมดคลิกที่นี่ ( อ่านได้เลย )

ถ้าเปิดแล้วไม่มาลองอีกที่
คลิกที่นี่
ลองอีกครั้งในรูปสไลท์แชร์

หนังสือดีมีให้อ่านฟรี ( ดาวโหลดใส่ไว้ในเครื่อง )

 
 
 
ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงข้อมูลบนเว็บไซต์นี้ ข้อกำหนดสิทธิและเงื่อนไข
Free Web Hosting